ชีวิตเราก็เท่านี้เอง ...
เมื่อค่ำวานนี้ได้ยินข่าวจากเพื่อนรุ่นพี่
ที่เป็นลูกศิษย์หลวงปู่
เพื่อนของเธอต้องสูญเสียลูกชายไป
ก่อนวัยอันควร อายุเพิ่ง 24-25 ปี

เธอเล่าว่า
ยังไม่ทันได้ทดแทนคุณพ่อแม่เลย
ยังสร้างกุศลกรรมได้เพียงเท่านี้
นึกถึงหัวอกแม่และพ่อ
ที่ร้องไห้เศร้าเสียใจ
เหมือนจะตายตามลูกไปให้ได้
เธอเล่าว่า
รู้สึกหดหู่จริงๆ ...

ได้ตอบเธอไปว่า ...
หลวงปู่เคยสอนผมในนิมิต
ตั้งแต่สมัยที่ท่านยังอยู่ไว้ว่า

เกิด แก่ เจ็บ ตาย
ให้ฝึกแยกเป็น 16
พิจารณาลึกเข้าไป ให้เห็นทุกข์ให้ชัดขึ้น
เห็นทุกข์จริงๆ จึงทิ้งทุกข์ได้

เกิดในเกิด เกิดในแก่ เกิดในเจ็บ เกิดในตาย
แก่ในเกิด แก่ในแก่ แก่ในเจ็บ แก่ในตาย
เจ็บในเกิด เจ็บในแก่ เจ็บในเจ็บ เจ็บในตาย
ตายในเกิด ตายในแก่ ตายในเจ็บ ตายในตาย

เด็กหนุ่มคนนี้ ที่บอกว่า
"...ยังไม่ทันแก่ ยังไม่ทันเจ็บ" แท้จริงแล้ว
แก่มาตั้งแต่เกิด เจ็บมาตั้งแต่เกิด ตายตั้งแต่เกิด
แต่มองไม่เห็นกัน คนธรรมดามองไม่เห็น

แก่แต่เกิด คือ เปลี่ยนไปทุกวัน สังเกตให้ดี
เด็กนี้โตขึ้นทุกวัน หนักขึ้น สูงขึ้นทุกวัน
จากเด็กทารก เป็นเด็กน้อย เด็กโต เด็กหนุ่ม

เจ็บในเกิด คือ ไม่สบาย ปวดหัวตัวร้อน
หลวงปู่บอกว่า ปวดท้องขี้ท้องเยี่ยวนั่น ทุกข์มั้ย
แล้วลองให้อดอาหารสักวันนึงนี่ จะเป็นไง
จะเจ็บท้อง จะทรมานแค่ไหนกับร่างกายนี่
เจ็บมันติดตัวมาแต่เกิดแล้ว คิดให้ดี

ตายแต่เกิด หลวงปู่บอกว่า
แกตอนเล็กๆ ที่ร้องอุแว้นั่น ... ตายไปแล้ว
แกกลับไปเป็นอย่างนั้นได้อีกมั้ย
ให้ไปลองไล่ดู

คนธรรมดาทั่วไป
มองไม่เห็นทุกข์ของ "เกิดแก่เจ็บตาย" อย่างนี้
แต่พระพุทธเจ้าเห็น
หลวงปู่และพระอริยเจ้าเห็น
ท่านเห็นอย่างซาบซึ้งใจ
จิตท่านจึงไม่หวั่นไหว

นี่แหละ! ที่เรียกว่า "ตัวรู้ตัวเห็น"
หรือ "ญาณทัศนะ" มีตาทิพย์
เห็นในสิ่งที่คนทั่วไปไม่เห็น!!!

ธรรมะวันวิสาขะ
วันพระวันเพ็ญเดือนหก
วันที่พระพุทธเจ้า
วันที่หลวงปู่ แก่เจ็บตาย ให้เราดู
ทำอย่างไร
จึงจะ "เห็น" อย่างที่ท่านเห็นหนอ
รอพวกเรามาสนทนาแลกเปลี่ยนกัน ...

เมธา พรพิพัฒน์ไพศาล
2 พฤษภา 2558

เห็นทุกข์จริงๆ จึงทิ้งทุกข์ได้...

ทำอย่างไร
จึงจะ "เห็น" อย่างที่ท่านเห็นหนอ

เห็นทุกข์...ทิ้งทุกข์ได้

คงต้องเชื่อจริงและหมั่นทำ...หมั่นพิจารณาบ่อยๆ

ทำจนกว่าจะ...ถึง เป็น ได้ _/|\_

       ภาพจาก  buddhiststories.wordpress.com

คุณแม่ที่เพิ่งสูญเสียลูกชายในครั้งนี้
ทำให้ผมนึกถึงเรื่อง นางกีสาโคตมี

ใครจะมาช่วยเล่าให้เพื่อนๆ ฟังว่า
เมล็ดพันธุ์ผักกาดวิเศษ เกี่ยวข้องอะไรกับเธอ
เธอพิจารณาเรื่องอะไรจึงได้บรรลุธรรม
สุดท้ายพระศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ท่านตรัสอะไรกับเธอจนได้บรรลุธรรม

เห็นตามความเป็นจริง...
จริงของโลกียะ...จริงของโลกุตระ...
อย่างไรก็ให้ปฏิบัติ...มืดก็ได้บุญ...สว่างก็ได้บุญ...
เมื่อคืนผมจึงทดลองการปฏิบัติน้อมจิต
ไปดูกุฏิหลวงปู่ตามที่พี่แอดมินท่านชี้แนะมา...
เพราะเป็นวันสำคัญมากที่สุดคืนหนึ่ง...
ได้ปรากฏภาพหลวงปู่กำลังให้พร
มีเสียงให้พรของหลวงดังก้องในจิตในใจ...
และมีแสงสว่างเรืองรอง...
สว่างไสวไปทั่วกุฏิหลวงปู่..
หลวงปู่เน้นให้ทุกท่านได้ปฏิบัติต่อไป...
เพียรทำไป ๆ ...สาธุครับ

การเห็นเป็นเรื่องสำคัญจริงๆ

ถ้าผมเองหมั่นพิจารณาความไม่เที่ยง และตัวประมาทบ่อยๆ

เพื่อมากระตุ้นเตือนตน คงมีความเพียรเพิ่มขึ้นไปอีก

ขอบคุณพี่แอดมินครับ

How Do We See Things?

มนุุษย์เรามองเห็นสิ่งต่างๆ ได้อย่างไร

เราคุ้นเคยกับการมองเห็นสิ่งต่างๆ ด้วย "ตา"

มากกว่าการมองเห็นสิ่งต่างๆ ด้วย "ใจ"

เห็นด้วยตา แต่ ไม่เห็นด้วยใจ

เห็นด้วยใจ แต่ ไม่เห็นด้วยตา

เห็นได้ ทั้งด้วยตาและด้วยใจ

หลวงปู่ ท่านเคยบอกว่า

"มโนมยิทธิ แปลว่า มีฤทธิ์ทางใจ"

ลูกศิษย์หลวงปู่ที่เป็นนักวิทยาศาสตร์

อย่างป้าน้อง ผู้เชี่ยวชาญเรื่องการมองและการเห็น

จะชวนไอน์สไตน์มาช่วยอธิบาย

เรื่องการมองเห็นต่างมิติอย่างไรหนอ???

รักหลวงปู่ดู่เหมือนพ่อครับ

ขอบคุณน้องปุถุชน อุตส่าห์ไปค้นคว้ามา
หลวงปู่ท่านว่าไว้ชัดเจน ตรงไปตรงมา
"เห็น" อย่างที่คนทั่วไปอยากเห็น
จะต้องเริ่มจากคำว่า "...จับองค์พระให้ได้"
คำนี้ไม่ได้หมายถึง เอามือเราไปจับพระพุทธรูปไว้
แต่หลวงปู่ท่านหมายถึง
นั่งสมาธิภาวนาหลับตาจนจิตสงบได้
ในระดับที่เห็นนิมิตเป็นองค์พระพุทธแล้ว

นิมิต นี้ยังมีความหมายเป็นสองแบบ
คือ ภาพติดตา กับ ภาพติดใจ

ภาพติดตา = อุคคหนิมิต

ต้องมองภาพพระพุทธเจ้าหรือพระพุทธรูป
แล้วหลับตา จึงเห็นภาพพระได้
(เห็นนี้ คือเห็นจริงๆ หลับตาเห็น ไม่ใช่นึกเอา)

ภาพติดใจ = ปฏิภาคนิมิต

ไม่ต้องมองภาพ เพียงแต่นึกถึงภาพพระ
ก็จะปรากฏภาพพระพุทธเจ้าหรือพระพุทธรูป
ให้เห็นได้ ทั้งที่ยังหลับตาอยู่ หากชำนาญขึ้น
จะสามารถย่อภาพ ขยายภาพที่เห็น หรือนึก
เปลี่ยนสีภาพได้ และหากชำนาญขึ้นไปอีก
แม้ลืมตาก็ยังสามารถเห็นได้
(เห็นนี้ คือเห็นได้จริงๆ ไม่ใช่นึกว่าเห็น)

นี้คือความหมายที่น้องปุถุชน คัดลอกบทสนทนา
ระหว่างหลวงปู่กับศิษย์ท่านหนึ่งมาให้อ่านกัน
เห็นอย่างนี้ เห็นไปทำไม???
คำตอบคือ หลวงปู่สอนให้เห็นอย่างนี้
เพื่อให้จิตมั่น มีความสงบ
เมื่อมีความสงบแล้ว เวลาที่จะน้อมพิจารณา
เรื่องใดสิ่งใดให้เป็นไปตามความจริงของโลก
ก็จะทำได้ง่าย
หากน้อมพิจารณาถูกเรื่องถูกราว พิจารณาบ่อยๆ
สุดท้ายจะเกิดเป็นมรรคผลได้ในที่สุด

ส่วนการ "เห็นธรรม" นั้น
จะเป็นการเห็นกิเลสว่าเป็นทุกข์โทษภัย
เห็นไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
เห็นทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค
เห็นขันธ์ห้า ว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา
เห็นชัดเจนด้วยทั้งตาและใจ
เห็นอย่างนี้ที่หลวงปู่ท่านสอนไว้

สาธุ....ครับ

นักวิทยาศาสตร์ตอบมาหลังไมค์ว่า

Religion and science go together.
As I've said before,
science without religion is lame
and religion without  science is blind.

They are interdependent
and have a common goal.
(The Search for Truth)

Einstein said ka.

The Truth หยาบ กลาง ละเอียด
มีคนบอกว่า "Truth" ต้องมีเพียงสิ่งเดียว
แต่เมื่อรู้จักหลวงปู่
เราเรียนรู้ว่า ...
ทุกอย่างมี หยาบ กลาง ละเอียด
อยู่ในหยาบ กลาง ละเอียด!!!