นานๆครั้งถึงจะได้มีโอกาสไปกราบหลวงปู่ที่วัดสะแก และทุกครั้งที่ไป ก็ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ(อย่างน่าใจหาย) คำถามหนึ่งที่เกิดขึ้นในใจก็คือ พวกเรามักพูดกันเสมอๆว่า “รักและเคารพหลวงปู่" แต่ทำไมกลับไม่เชื่อหลวงปู่ กลับทำในสิ่งตรงกันข้ามกับที่ท่านได้สอนพวกเราเสมอมา กระทู้นี้มีวัตถุประสงค์ก็เพื่ออยากจะให้ศิษย์พี่ๆน้องๆรุ่นหลังได้ทราบถึงสิ่งที่เป็นคำสั่งคำสอนของหลวงปู่ดู่ ที่พวกเรา (ทั้งศิษย์เก่าและศิษย์ใหม่) ควรเห็นความสำคัญและตั้งใจที่จะไม่ประพฤติล่วงคำสั่งคำสอนของท่าน ที่ขอยกมา ณ ที่นี้ คือบางส่วนของคำสั่งหรือดำริของหลวงปู่ที่พวกเราควรตระหนัก ได้แก่
๑. หลวงปู่สั่งห้ามเรี่ยไรเงิน (ทุกวันนี้ยังมีประกาศห้ามเรี่ยไรเงิน – ลายมือของหลวงลุงยวง ติดไว้ที่เสาตรงข้ามกุฏิของหลวงปู่) แต่ก็ยังมีคนไม่น้อยที่ชอบมาเรี่ยไรที่หน้ากุฏิหลวงปู่อีก เหมือนจะท้าทายที่หน้าหุ้นขี้ผึ้งรูปเหมือนหลวงปู่ ว่าบัดนี้หลวงปู่ละสังขารไปแล้ว ไม่มีใครมาห้ามฉันได้หรอก
๒. หลวงปู่สั่งไม่ให้จับกลุ่มคุยในขณะที่กำลังภาวนากัน ก็ยังพากันจับกลุ่มคุยส่งเสียงรบกวน จะนั่งสมาธิก็มีเสียงคุยรบกวน ออกไปเดินจงกรมยามค่ำมืดก็ยังมีเสียงจับกลุ่มคุยกันอีก หากหาความสงบในวัดไม่ได้แล้ว จะไปหาความสงบ ณ ที่ใด ที่ว่าภาวนาที่ใดก็ได้นั่น หมายถึงผู้ที่ทำได้ทำถึงมาก่อนหน้านี้แล้ว จากนั้นจะไปภาวนาที่ไหน ๆ ก็ได้ แต่ผู้กำลังฝึกหัดตน สภาพแวดล้อมย่อมมีผลอย่างมาก ไม่อย่างนั้นหลวงปู่จะกล่าวหรือว่าภาวนาที่วัดกับที่บ้านนั้นย่อมไม่เหมือนกัน นี้ยังไม่นับรวมที่คุยข้ามหัวคนนั่งภาวนาก็ยังมีให้เห็น หากหลวงปู่ยังมีชีวิต ท่านจะสลดสังเวชใจเพียงใด
๓. หลวงปู่บอกว่าท่านไม่เคยวางและจะไม่วางหลักปฏิบัติใหม่ ที่เกินเลยแบบที่พระพุทธเจ้าวางไว้เด็ดขาด ก็ยังพากันอุปโลกน์สร้างวิชาพิสดารอะไรขึ้นมาอีก ทำให้คนเข้าใจผิดคิดว่าหลวงปู่ต้องการจะเก่งเกินพระพุทธเจ้า รู้เทคนิควิธีที่ดีกว่าพระพุทธเจ้าสอนเสียอีก
๔. หลวงปู่สอนให้จริงจังและสม่ำเสมอต่อการปฏิบัติ ก็ยังพากันสอนให้ปฏิบัติแบบง่าย ๆ สบาย ๆ ทั้ง ๆ ที่หลวงปู่ครูบาอาจารย์ปฏิบัติแทบล้มแทบตายกว่าจะได้ธรรม ทำเหมือนว่าจะมีบารมีธรรมที่สั่งสมอบรมมามากกว่าหลวงปู่และครูบาอาจารย์เหล่านั้น คำว่าสบาย ๆ นั้นหมายความถึงการวางใจมิให้เกิดความเคร่งเครียดหรือเต็มไปด้วยการคาดหวังผลว่าเมื่อไหร่จิตจะสงบหรือเกิดปัญญาสักที พูดอีกอย่างว่า “วางใจสบาย ๆ” หมายความว่าให้จิตมีฉันทะหรือยินดีต่อการปฏิบัติ เห็นคุณค่าของการปฏิบัติซึ่งเป็นส่วนของเหตุ (มิใช่ผล) เหมือนเราเป็นช่างสร้างบ้าน ก็ให้ทำการสร้างบ้านอย่างมีความสุขและเห็นคุณค่าของการปฏิบัติในทุกขั้นตอน มิใช่ทำไปหน่อยหนึ่งแล้วก็อู้งาน มัวแต่นั่งบ่นนั่งกังวลว่าเมื่อไหร่บ้านจะเสร็จสักที
๕. หลวงปู่สอนให้ทำตามแบบพระพุทธเจ้า (คือ ศีล สมาธิ ปัญญา) เราก็ยังพากันหาทางลัดกว่านี้ เช่น ละศีลออกบ้าง ละสมาธิออกบ้าง มุ่งจับยอดคือตัวปัญญา (หรือที่นิยมเรียกว่าวิปัสสนา) เสียเลยดีกว่า ผลก็เลยเป็นเหมือนข้าวโพดปิ้งที่ไม่มีไฟ ปิ้งเท่าไร ๆ ก็ไม่สุกไม่หอม เพราะไม่มีศีลและสมาธิ องค์ประกอบจึงไม่ครบสมบูรณ์ หากบอกว่าอยู่เฉย ๆ ก็เป็นศีล วางใจเฉย ๆ ก็เป็นสมาธิ หากสิ่งเหล่านี้จะมีมาได้โดยปราศจากความเพียรชอบ ปราศจากการฝึกการฝืน ปราศจากการอบรมดัดจิตใจให้ตรง เป็นของมีได้ตามธรรมชาติหรือมีมาได้โดยง่าย ๆ พระองค์ก็คงไม่ต้องเหนื่อยสอนและวางหลักวิธีปฏิบัติมากมายเพียงนี้
จึงว่าหากบอกว่ารักและเคารพหลวงปู่ ก็ขอได้โปรดเชื่อท่านและปฏิบัติตามที่ท่านอบรมสั่งสอน อย่าได้ปฏิบัติอย่างที่เรียกว่า "ท้าทาย" ท่าน ก็จะได้ชื่อว่ารักเคารพท่านจริง และเป็นการปฏิบัติธรรมโดยใจเคารพเอื้อเฟื้อ เพื่อความยืนยาวของคำสั่งคำสอนของหลวงปู่ และประโยชน์ที่จะเกิดกับตัวเราเองและผู้มาภายหลังทั้งในปัจจุบันและในอนาคต...จึงขอฝากมาให้พวกเราช่วยกันนำเอาบรรยากาศเก่าๆ เมื่อครั้งหลวงปู่ท่านยังดำรงค์ขันธ์อยู่กับพวกเรากลับคืนมาสู่วัดสะแก
เมื่อครั้งพระพุทธองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานได้เพียงไม่กี่วัน ก็มีพระสาวกบวชใหม่ผู้เป็นพาลบางรูปกล่าวทำนองดีใจว่าต่อแต่นี้ไปก็จะไม่มีใครมาคอยห้ามนั่นห้ามนี่อีกแล้ว พวกเขาจักทำอะไร ๆ ได้ตามชอบใจ จึงเป็นเหตุนำมาซึ่งการสังคายนาเพื่อให้เกิดพระธรรมวินัยที่เป็นหมวดหมู่สะดวกต่อการจดจำและเผยแพร่ โดยให้มีความสมบูรณ์บริบูรณ์เพียงพอต่อการใช้อ้างอิง และที่สำคัญอย่างยิ่งคือใช้เป็นศาสดาแทนพระองค์ พระมหากัสสปะ ทั้ง ๆ ที่ท่านอยู่แต่ในป่า แต่เมื่อมีเหตุเกิดขึ้นซึ่งมีผลกระทบด้านลบต่อพระพุทธศาสนา ท่านก็ออกจากป่ามาเป็นผู้นำในการทำการสังคายนาพระไตรปิฎก และในระหว่างแห่งการสังคายนาก็มีประเด็นเรื่องอาบัติเล็กน้อย ที่พระพุทธองค์อนุโลมว่าพระภิกษุสงฆ์สามารถถอนสิกขาบทที่เห็นว่าเป็นประเด็นเล็กน้อยบางข้อออกได้ อย่างไรก็ดี พระภิกษุสงฆ์ (ซึ่งล้วนเป็นพระอรหันต์) มีทัศนะไม่เป็นเอกฉันท์ว่าสิกขาบทอะไรบ้างที่จะอยู่ในข่ายที่พระพุทธองค์ประสงค์ให้อนุโลมว่าเป็นประเด็นเล็กน้อยที่สามารถถอนออกได้ (คือไม่ต้องปฏิบัติตาม)
ดังนั้น พระมหากัสสปะในฐานะประธานการสังคายนา จึงกล่าวในท่ามกลางสงฆ์ว่า เมื่อไม่มีข้อยุติว่าอะไรคือสิ่งที่เรียกว่าอาบัติเล็กน้อย เช่นนี้แล้ว เหล่าพระภิกษุสงฆ์ก็ไม่ควรประพฤติให้ชนทั้งหลายกล่าวได้ว่า สิกขาบทที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติขึ้นนั้นจักอยู่ได้เพียงแค่ชั่วระยะเวลาที่พระพุทธองค์ยังทรงพระชนมาชีพอยู่เท่านั้น เปรียบเหมือนการยึดถือคำสั่งคำสอนแค่เพียงชั่วระยะกาลแห่งควันไฟเท่านั้น
ขอให้พวกเรามาช่วยกันรักษาและยึดถือคำสั่งสอนของหลวงปู่ที่เรารักและเคารพ อย่าให้คำสั่งสอนของท่านเลือนหายหรือดำรงค์อยู่ได้แค่เพียงชั่วระยะกาลแห่งควันไฟเท่านั้น เลย...
|